วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิถีไม่ตัน

เพิ่งได้หนังสือเล่มนี้มาอยู่ในมือเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่หลายๆคนคงอ่านจบไปหลายรอบแล้วนะคะ ยังไงก็ตามขอนำบทความดีๆให้แง่คิด คติ ในการดำเนิธุรกิจและชีวิตของคุณต "ตัน" มาแบ่งปันค่ะ

   วิถีที่ 1 คำมั่นสัญญา
ตอนที่ตัดสินใจลาออกจาดโออิชิ รู้ไหมครับผมคิดอะไร จากคนที่เคยเริ่มต้นจาก ติดลบ สามารถมีวันนี้ได้ ไม่ว่าจะความสำเร็จหรือฐานะทรัพย์สิน ทุกอย่างเกินที่ผมฝันไว้แล้ว คงไม่กล้าบอกว่าตัวเองรวยแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่า" เพียงพอ"บางช่วงบางตอนของคนเรามักสนุกกับกาทำงาน จนหลงลืมใช้ชีวิต หันกลับมาอีกที่ "ตัวเลข" กลับไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเหมือนเดิมจากคนที่เคยสนุกกับการแข่งขัน มีเป้าหมายและผลประกอบการและกำไรไว้ให้พุ่งชน  ถึงจุดหนึ่งสอนให้ผมรู้จักกับคำว่า"พอ" เงินไม่ใช่สิ่งที่ผมโหยหิว กำไรสูงสุดไม่ใช่สิ่งที่ผมบูชา ผมได้เรียนรู้ถ่องแท้ถึงคุณค่าใหม่ของชีวิตที่มีความหมายมากกว่านั้น นั่นคือจุดหักเหครั้งสำคัญ ก้าวผ่านชีวิตอีกขั้น หลังจากการขายหุ้น อะไรคือความสุขที่แท้จริง อะไรคือความหมายของชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับผมและครอบครัว "จะทำอะไร ทำเพื่ออะไร จะทำไปทำไม แล้วจะทำอีกเหรอ" ผมถามย้ำซ้ำๆกับตัวเอง  คำตอบคือลาออกแล้วชีวิตจะเอาอย่างไรต่อไป  ยังเร็วเกินไปที่จะเกษียนตัวเองไปพักผ่อนในวัย 52  ในขณะที่มีความพร้อมทุกอย่างมากมายในมือ ทั้งทุน ชื่อเสียง ประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานที่ดี  ผมยังมีลูกน้องหลายคนที่เคยร่วมทุกข์สุข บรรดาคู่ค้าที่กอดคอโตทำธุรกิจมาร่วมกัน   ผมยังสนุก ท้าทายกับการคิดอะไรใหม่ๆนอกกรอบ  มากไปกว่านั้นคือ จิตวิญญานและความรักของผมในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม   ผมจะขายหุ้น ไม่ได้ขายชีวิต
      จะถือหุ้นใหญ่ หรือหุ้นเล็ก จิตวิญญานความเป็นเจ้าของสำหรับผมไม่ต่างกัน   หลังขายหุ้น 55 เปอร์เซ้นต์ให้กับกลุ่มเบียร์ช้างเมื่อ 6 ปีก่อน ตามสัญญาต้องช่วยบริหารงาน 3 ปี แต่ผมบริหารงานมาถึง 5 ปี  ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นโออิชิทั้งรายใหญ่แลัรายย่อยทุกคนเพิ่มขึ้นทุกปี บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีมูลค่าธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า  ผมมั่นใจว่าได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์มาตลอด 5 ปี ไม่ได้ทำให้ใครเสียหายทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงวันที่ตัดสินใจลาออก
     ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นวิชาชีพของผม เป็นภูมิปัญญาเป็นงานที่ผมรัก  เมื่อจะบุกเบิกธุรกิจใหม่อีครั้ง ผมอยากทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งแต่ เงินๆๆและกำไรสูงสุดเป็นตัวตั้ง  แต่เป็นธุรกิจเพื่อ "ภารกิจ"ความสุข..ที่ต้องดูแลสังคมด้วย นั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำหใ้ผมหวนกลับมาทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอีกครั้ง พร้อมจุดเริ่มต้นของ "อิชิตัน ออร์แกนนิค กรีนที"เครื่องดื่ม"ดับเบิ้ลดริงค์"   ขับเคลื่อนภาระกิจเป้าหมายใหม่ที่เปลี่ยนไปในการทำธุรกิจ ในนาม "บริษัท ไม่ตัน จำกัด" ทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดยเงินปันผล 50 เปอร์เซ็นต์ จากหุ้นที่ผมและภรรยา ถืออยู่จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่า 300 ล้านบาท จะมอบให้กับมูลนิธิตันปันตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป  นับจากนั้นเมื่อผมอายุ 60 ปีแล้ว จะเพิ่มสัดส่วนการบริจาคไม่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไป เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมเล็กๆของการแบ่งปันสู่สังคมในด้าน "การศึกษา" และสิ่งอวดล้อม    ทั้งหมดนี้เพราะผมและภรรยามีเป้าหมายร่วมกัน นับแต่นี้จะใช้เงินของเราทำอะไรก็ได้ที่มี"ความสุข"
      ความสุขไม่ได้แปลว่าเราต้องซื้อทรัพย์สิน ไม่ได้แปลว่าเราต้องบริโภค ต้องสะสมความั่งมี  บางนเข้าใจว่ามีเงินแล้วมีความสุข  จริงๆแล้ว เงินเป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานขั้นต้น  มากไปกว่านั้นเงินแทบจะไม่มีความหมาย
     ความสุขจึงไม่ได้เป็นสิ่งผูกขาดสำหรับคนรวย
     คนเราสามารถมีความสุขได้หลายอย่าง
     สิ่งที่ทำหให้ผมมีความสุขในชวงหลังคือ การได้ช่วยเหลือสั่งคม  ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายถ่ายทอดประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจหรือการจัดกิจกรรมช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน
    การที่ได้เห้นรอยยิ้ม  ของคนที่ ได้รับ  เป็นความสุขใจอย่างหนึ่งของผม
    เวลาที่เหลือนับจากนี้ ผมมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจ เพื่อภารกิจของมูลนิธิตันปัน และ "เป้าหมาย"ของผมนับจากนี้ไม่ใช่การ"ได้รับ" แต่เป็น "การให้"  ผมเชื่อเสมอว่า..คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะ "เป็น" ได้
    และวันนี้ผมเลือกแล้ว

ขอข้ามไปวิถีที่ 16 ก่อนค่ะ


    วันหนึ่งระหว่างทางที่กลับบ้านที่ชลบุรี"กระบอกข้างหลาม" ของฝากข้างทางจุดประกายให้ผมนึกถึงปรัชญาธุรกิจ "โตอย่างไผ่" ที่อยากเล่าสู่กันฟังครับ   มองเผินๆกระบอกข้าวหลามจากต้นไผ่ ต้นไม้ลำไม่ใหญ่ แถมข้างในเป็นโพรง กิ่งของมันไหวเอนไปตามลม ดูไม่น่าจะแข็งแกร่ง แต่กลับแข็งแรงกว่าที่เราคิด ไผ่อายุยืน โตเร็วและทนทาน ขยายพันธุ์จากกอไผ่ต้นน้อย แข่งกันแตกหน่อเติบโตเป็นกอใหญ่ ลำต้นแข่งขันกันสูงใหญ๋ยืดตัวจนใครๆมองเห็นทั่ว  ยิ่งแข่งกันสูงรับแสงจากดวงอาทิตย์ กอไผ่ยิ่งเติบโต ขยายอาณาจักรของมันออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะสังคมขอต้นไผ่แข่งขันกัน แต่ไม่ทำลายกัน  ไผ่หลายกอเติบโตรวมกันยามเมื่อลมพายุแรงๆพัดใส่ไผ่กอใหญ่กอนี้จึงแข็งแรง ไม่ล้มหักโค่นง่ายๆ ในความคิดของผม ไผ่จึงยืนหยัดเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงที่สุดท่ามกลางการแข็งขันและอยู่รอด
   การโตแบบกอไผ่ เคยเป็นกลยุทธ์ที่ผมนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน เมื่อสิบกว่าปีก่อน  ผมเริ่มต้นทำธุรกิจบนแนวคิดใหม่ แตกขยายร้านออกไปบนทำเลเดียวกัน ด้วยเป้าหมาย ฝันอยากจะสร้างถนนสายวิวาห์ให้เบ่งบานที่ทองหล่อ เหมือนๆที่เกิดขึ้นบนถนนสายทองคำที่เยาวราช  ครั้งแรกที่ผมชวนพนักงานที่เก่งๆแล้วในร้านแรกออกไปเปิดร้านใหม่แห่งที่ 2 " คุณแมว" หุ้นส่วนคนแรกขอผม หวั่นใจไม่น้อยว่าจะเกิดปัยหาแย่งลุกค้ากันเองหรือไม่  แต่ผมยังยืนยันนโยบายเดนหน้าร่วมทุนเปิดร้านใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทุกครั้งที่จะร่วมหุ้นเปิดร้านใหม่ บรรดาหุ้นส่วนร้านเดิมทั้งหมดจะสามัคคีกันเป็นแนวร่วมทักท้วง ส่วนรายล่าสุดก้มักจะยื่นคำขาดแกมขอร้องว่า ให้ผมหยุดที่ร้านเขาเป็นร้านสุดท้ายได้ไหม
   วันหนึ่งผมเลย้องเรียกประชุมหุ้นส่วนทุกร้านมาคุยพร้อมกันหมด แจกแจงให้ฟังถึงแนวคิดธุรกิจ เปรียบเทียบให้เห็นถึงการโตอย่างต้นไผ่  ขอให้แต่ละร้านแข่งขันกันเต็มที่ แต่อย่าทำลายกัน ให้แข่งขันกันที่ความขยัน การลดต้นทุน แข่งกันบริการให้ดีที่สุด ใช้การแข่งขันดึงดูดลุกค้า สร้างบรรยากาศตลาดให้คึกคัก  เครือข่ายธุรกิจแบบแข่งขันแต่ยังช่วยเหลือเกิื้อกูลกัน เปรียบเหมือนเป็นกอไผ่ที่ยิ่งแตกก้ยิ่งเติบโต ในที่สุดตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ในบัญชี ก้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้หุ้นส่วนยอมรับว่าการมีร้านมากขึ้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขายเดิม ตรงกันข้ามกลับเป็นจุดขายที่ทำให้ตลาดโตยิ่งกว่าเดิม  มองย้อนกลับไป แม้วันนี้ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานจะไม่ได้บูมเหมือนยุคขาขึ้นในอดีต แต่การที่เรายังยืนหยัดสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานจนถึงปัจจุบัน ผมถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็น"ตัวจริง"ในสังเวียนธุรกิจที่ยั่งยืนหยัดอย่ได้บนถนนสายเวดดิ้งทองหล่อ  กลยุทธ์ดตอย่างไผ่ ยังเป็นดมเดลที่ผมหยิบมาใช้อีกครั้งกับธุรกิจใหม่  ร้านราเมนแชมเปี้ยน อารีน่าทองหล่อซอย 10 โมเดลที่รวมเอาสุดยอด 6 ร้าน"ราเมน" ต้นตำรับมาต่อกรเปิดแข่งกันในพื้นที่เดียวกัน แทนที่จะมองว่าแย่งลูกค้ากัน กลับยิ่งช่วยสร้างความคึกคักให้อารีน่า กลายเป็นทำเลนัดพบประสบการณ์ความอร่อยแห่งใหม่  เพราะความหลากหลายทางเมนูและบริการให้ลูกค้าได้เลือกสรรในที่เดียว  นอกจากราเมนทั้ง 6 ร้านจะขายดีแล้ว ร้านช็อกโกแลตและไอศรีมอย่าง melt me ก้พลอลคึกคักไปด้วย
   เมื่อการแข่งขันกลายมาเป็นจุดขายทางเลือกใหม่ๆสำหรับลูกค้ายิ่งแข่งก็ยิ่งโตครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น