วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วงการร้านขายยา ณ จังหวัดหนึ่ง

ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ หากเพื่อนๆวงกาารร้านขายยามีความเห็น หรือประสบการณ์แตกต่าง หรือเห็นด้วยก็สามารถ share ได้นะคะ
  เมื่อปี  46 ทำงานประจำอยู่รพ.เอกชน และเปิดร้านขายยาไปด้วย (ขย 1 ) พอเลิกงานตอนเย็นก็ไปเปิดร้านขายเองคนเดียวไม่จ้างลูกน้องค่ะ ทำเองทุกอย่าง  รายได้พออยู่ได้แต่ไม่รุ่ง  ทำได้ 3 ปีก็ให้เค้าเช่าไป(บ้านตัวเอง) แล้วย้ายไปเปิดอีกที่โดยให้พี่ชายขาย  หลายคนอาจสงสัยว่าพี่ขายยาเป็นเหรอ  นั่นสิ และไม่ต้องมีเภสัชกรขายเหรอ   สมัยนั้นใบอนุญาตขายยาแค่จำกัดว่าให้มีเภสัชกรประจำร้าน  ในช่วงเวลาใดก็ได้ค่ะ เช่น ภญ...เวลาปฏิบัติการ 17.00-21.00 น. ส่วนเวลานอกเหนือจากที่ระบุใครจะมาขายก็ได้   ร้านอื่นๆเค้าจะจ้างเภสัชกรตามรพ.มา "แขวน"ป้าย  คือเอาค่าใบประกอบไป ไม่ต้องมาอยู่ก็ได้....เป็นไงล่ะค่ะผู้บริโภคน่ากลัวมั๊ยว่าคุณรับยาจากใคร....
สมัยนั้นร้านยาไม่ได้มากมายอะไร และ วิชาชีพเภสัชกรยังขาดแคลนอยู่ในภาครพ.ทั้งเอกชน และรัฐบาล หรือกระทั่งบริษัทยา โรงงานยาต่างๆ  ร้านยาจึงไม่มีคู่แข่งมากนัก    ขายได้ซัก 1 ปีก็ย้ายร้านอีกค่ะ  ย้ายมาเช่าบ้านคนอื่นขายมั่ง หลังจากขายที่บ้านตัวเองมาสองที่แล้วไม่รุ่ง     ร้านที่สามที่นับว่าทำเลดีกว่าร้านเดิมค่ะ ยอดขายก็นับว่าอยู่ได้....มาช่วง2-3 ปีหลังนี่แหละค่ะ วงการร้านยาก็กลายเป็น red ocean เลย ร้านขายยาที่นี่เปิดกันมากมาย เดือนละ 2- 3 ร้านเรียกว่า ร้านยาที่นี่มากกว่า 7-11 เลยค่ะ   เศรษฐกิจที่ดีของจังหวัดนี้ก็ส่วนหนึ่ง  วิชาชีพเภสัชกรที่ไม่ได้เป็นสาขาขาดแคลนแล้วก็อีกส่วน มหาลัยหลายที่เปิดหลักสูตรเภสัชศาสตร์  ผลิตเภสัชกรได้มากมาย  พอมันล้นตลาดก็ไม่รู้จะทำอะไร  หันซ้ายหันขวาเปิดร้านดีกว่า  แต่บางคนก็มีเป้าหมายความมุ่งมั่นในการเป็นเภสัชชุมชนนะคะ ทุกสังคมทุกวิชาชีพก้ย่อมต้องมีสีขาว สีดำ สีเทาๆปนๆกันไปค่ะ  อยู่ที่ว่าสีใดจะมีมากกว่ากัน  ส่วนตัวคิดว่าวงการร้านยายังคงมีสีขาวมากกว่าสีอื่นๆนะคะ
        ขายยาไม่ได้กำไรมากมายอะไรค่ะ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เอง ค่ะ แต่เป็นงานที่อิสระ เป็นงานเชิงสังคม สุขภาพ ของคน ตั้งอยู่บนความเสี่ยงเหมือนกันนะคะ ยิ่งมีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคด้วย และอิทธิพลของสื่อต่างๆ แล้ว อะไรก็ฟ้องได้ค่ะ หากการปฏิบัติงานไม่ตั้งอยู่บนมาตรฐานวิชาชีพ  แต่ก็ล่ะค่ะความที่ร้านยามีมาก ฝ่ายที่ถือกฎหมายมีเพียงหยิบมือ ก็เลยเห็นการกระทำแบบสีเทาๆให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ
เข้าใจข้อจำกัดของสสจ.เรื่องกำลังคนค่ะ  ส่วนผู้ประกอบการเองก็ต้องมีจรรยาบรรณในตัวเองร่วมมือกันไป ผู้บริโภคจะได้รีบประโยชน์สูงสุดค่ะ
   เรื่องที่ว่าการกระทำสีเทาๆที่เคยเห็นมาในวงการร้านยาก็อย่างเช่น  ขายยากล่อมประสาท (alprazolam ,Lorazepam,diazepam ฯลฯ) ให้เด็กวัยรุ่นเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด  เปิดขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ฮิตมากๆตอนนี้ก็ขายยาแก้ไอสูตร Benadryl ให้กลุ่มวัยรุ่นเยาวชน นำไปผสมเป็น 4x100 , 5x100 มึนเมากันไป  ยาพวกนี้ขายได้ไม่ผิดกฎหมายค่ะ(ถ้าเป็นขย 1)โดยต้องทำรายงานการขาย ว่าขายให้ใคร จำนวนเท่าไหร่ เพื่ออะไร ไว้เวลาสสจ.มาตรวจก็สามารถให้ดูได้  แต่เดือนนึงไม่เกิน 300 ขวด คนละไม่เกิน 3 ขวดค่ะ  เพื่อการรักษาอาการไอ ระคายคอ ได้ค่ะ....ยากลุ่มนี้คิดว่าต่อไปคงให้เลิกจำหน่ายในร้านยาอีกแน่ค่ะ เหมือนกับยากลุ่ม Pseuephedrine+antihistamine(สำหรับลดน้ำมูก คัดจมูก) ที่เค้าให้เลิกขายในร้านยาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 54 นี้เนื่องจากมีกระบวนการการค้ายานำไปสกัดเอา Pseudoephedrine ออกมาเป็นสารตั้งต้นของยาบ้าได้อีก....ยาดีๆก็เลยถูกเก็บออกจากตลาดร้านยา...
                แต่ร้านยาสีขาวๆก็มีมากนะคะ ร้านที่ให้บริการด้านยาและสุขภาพกับชุมชนอย่างแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน อันนี้จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนค่ะ เชื่อมั่นอย่างนั้นค่ะ   ผู้บริโภคลองเลือกร้านยาสีขาวไว้ในดวงใจคุณซักร้านนะคะ

1 ความคิดเห็น: