http://www.youtube.com/watch?v=qMCJDzS4ocM&feature=youtu.be
มีคลิปเรื่องการแพ้ยา ที่ดูง่ายๆเข้าใจง่ายมาฝากค่ะ
เพื่อเข้ากับสถานการณ์ Clip fever ช่วงน้ำท่วมค่ะ
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วงการร้านขายยา ณ จังหวัดหนึ่ง
ต่อไปนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะคะ หากเพื่อนๆวงกาารร้านขายยามีความเห็น หรือประสบการณ์แตกต่าง หรือเห็นด้วยก็สามารถ share ได้นะคะ
เมื่อปี 46 ทำงานประจำอยู่รพ.เอกชน และเปิดร้านขายยาไปด้วย (ขย 1 ) พอเลิกงานตอนเย็นก็ไปเปิดร้านขายเองคนเดียวไม่จ้างลูกน้องค่ะ ทำเองทุกอย่าง รายได้พออยู่ได้แต่ไม่รุ่ง ทำได้ 3 ปีก็ให้เค้าเช่าไป(บ้านตัวเอง) แล้วย้ายไปเปิดอีกที่โดยให้พี่ชายขาย หลายคนอาจสงสัยว่าพี่ขายยาเป็นเหรอ นั่นสิ และไม่ต้องมีเภสัชกรขายเหรอ สมัยนั้นใบอนุญาตขายยาแค่จำกัดว่าให้มีเภสัชกรประจำร้าน ในช่วงเวลาใดก็ได้ค่ะ เช่น ภญ...เวลาปฏิบัติการ 17.00-21.00 น. ส่วนเวลานอกเหนือจากที่ระบุใครจะมาขายก็ได้ ร้านอื่นๆเค้าจะจ้างเภสัชกรตามรพ.มา "แขวน"ป้าย คือเอาค่าใบประกอบไป ไม่ต้องมาอยู่ก็ได้....เป็นไงล่ะค่ะผู้บริโภคน่ากลัวมั๊ยว่าคุณรับยาจากใคร....
สมัยนั้นร้านยาไม่ได้มากมายอะไร และ วิชาชีพเภสัชกรยังขาดแคลนอยู่ในภาครพ.ทั้งเอกชน และรัฐบาล หรือกระทั่งบริษัทยา โรงงานยาต่างๆ ร้านยาจึงไม่มีคู่แข่งมากนัก ขายได้ซัก 1 ปีก็ย้ายร้านอีกค่ะ ย้ายมาเช่าบ้านคนอื่นขายมั่ง หลังจากขายที่บ้านตัวเองมาสองที่แล้วไม่รุ่ง ร้านที่สามที่นับว่าทำเลดีกว่าร้านเดิมค่ะ ยอดขายก็นับว่าอยู่ได้....มาช่วง2-3 ปีหลังนี่แหละค่ะ วงการร้านยาก็กลายเป็น red ocean เลย ร้านขายยาที่นี่เปิดกันมากมาย เดือนละ 2- 3 ร้านเรียกว่า ร้านยาที่นี่มากกว่า 7-11 เลยค่ะ เศรษฐกิจที่ดีของจังหวัดนี้ก็ส่วนหนึ่ง วิชาชีพเภสัชกรที่ไม่ได้เป็นสาขาขาดแคลนแล้วก็อีกส่วน มหาลัยหลายที่เปิดหลักสูตรเภสัชศาสตร์ ผลิตเภสัชกรได้มากมาย พอมันล้นตลาดก็ไม่รู้จะทำอะไร หันซ้ายหันขวาเปิดร้านดีกว่า แต่บางคนก็มีเป้าหมายความมุ่งมั่นในการเป็นเภสัชชุมชนนะคะ ทุกสังคมทุกวิชาชีพก้ย่อมต้องมีสีขาว สีดำ สีเทาๆปนๆกันไปค่ะ อยู่ที่ว่าสีใดจะมีมากกว่ากัน ส่วนตัวคิดว่าวงการร้านยายังคงมีสีขาวมากกว่าสีอื่นๆนะคะ
ขายยาไม่ได้กำไรมากมายอะไรค่ะ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เอง ค่ะ แต่เป็นงานที่อิสระ เป็นงานเชิงสังคม สุขภาพ ของคน ตั้งอยู่บนความเสี่ยงเหมือนกันนะคะ ยิ่งมีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคด้วย และอิทธิพลของสื่อต่างๆ แล้ว อะไรก็ฟ้องได้ค่ะ หากการปฏิบัติงานไม่ตั้งอยู่บนมาตรฐานวิชาชีพ แต่ก็ล่ะค่ะความที่ร้านยามีมาก ฝ่ายที่ถือกฎหมายมีเพียงหยิบมือ ก็เลยเห็นการกระทำแบบสีเทาๆให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ
เข้าใจข้อจำกัดของสสจ.เรื่องกำลังคนค่ะ ส่วนผู้ประกอบการเองก็ต้องมีจรรยาบรรณในตัวเองร่วมมือกันไป ผู้บริโภคจะได้รีบประโยชน์สูงสุดค่ะ
เรื่องที่ว่าการกระทำสีเทาๆที่เคยเห็นมาในวงการร้านยาก็อย่างเช่น ขายยากล่อมประสาท (alprazolam ,Lorazepam,diazepam ฯลฯ) ให้เด็กวัยรุ่นเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด เปิดขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ฮิตมากๆตอนนี้ก็ขายยาแก้ไอสูตร Benadryl ให้กลุ่มวัยรุ่นเยาวชน นำไปผสมเป็น 4x100 , 5x100 มึนเมากันไป ยาพวกนี้ขายได้ไม่ผิดกฎหมายค่ะ(ถ้าเป็นขย 1)โดยต้องทำรายงานการขาย ว่าขายให้ใคร จำนวนเท่าไหร่ เพื่ออะไร ไว้เวลาสสจ.มาตรวจก็สามารถให้ดูได้ แต่เดือนนึงไม่เกิน 300 ขวด คนละไม่เกิน 3 ขวดค่ะ เพื่อการรักษาอาการไอ ระคายคอ ได้ค่ะ....ยากลุ่มนี้คิดว่าต่อไปคงให้เลิกจำหน่ายในร้านยาอีกแน่ค่ะ เหมือนกับยากลุ่ม Pseuephedrine+antihistamine(สำหรับลดน้ำมูก คัดจมูก) ที่เค้าให้เลิกขายในร้านยาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 54 นี้เนื่องจากมีกระบวนการการค้ายานำไปสกัดเอา Pseudoephedrine ออกมาเป็นสารตั้งต้นของยาบ้าได้อีก....ยาดีๆก็เลยถูกเก็บออกจากตลาดร้านยา...
แต่ร้านยาสีขาวๆก็มีมากนะคะ ร้านที่ให้บริการด้านยาและสุขภาพกับชุมชนอย่างแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน อันนี้จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนค่ะ เชื่อมั่นอย่างนั้นค่ะ ผู้บริโภคลองเลือกร้านยาสีขาวไว้ในดวงใจคุณซักร้านนะคะ
เมื่อปี 46 ทำงานประจำอยู่รพ.เอกชน และเปิดร้านขายยาไปด้วย (ขย 1 ) พอเลิกงานตอนเย็นก็ไปเปิดร้านขายเองคนเดียวไม่จ้างลูกน้องค่ะ ทำเองทุกอย่าง รายได้พออยู่ได้แต่ไม่รุ่ง ทำได้ 3 ปีก็ให้เค้าเช่าไป(บ้านตัวเอง) แล้วย้ายไปเปิดอีกที่โดยให้พี่ชายขาย หลายคนอาจสงสัยว่าพี่ขายยาเป็นเหรอ นั่นสิ และไม่ต้องมีเภสัชกรขายเหรอ สมัยนั้นใบอนุญาตขายยาแค่จำกัดว่าให้มีเภสัชกรประจำร้าน ในช่วงเวลาใดก็ได้ค่ะ เช่น ภญ...เวลาปฏิบัติการ 17.00-21.00 น. ส่วนเวลานอกเหนือจากที่ระบุใครจะมาขายก็ได้ ร้านอื่นๆเค้าจะจ้างเภสัชกรตามรพ.มา "แขวน"ป้าย คือเอาค่าใบประกอบไป ไม่ต้องมาอยู่ก็ได้....เป็นไงล่ะค่ะผู้บริโภคน่ากลัวมั๊ยว่าคุณรับยาจากใคร....
สมัยนั้นร้านยาไม่ได้มากมายอะไร และ วิชาชีพเภสัชกรยังขาดแคลนอยู่ในภาครพ.ทั้งเอกชน และรัฐบาล หรือกระทั่งบริษัทยา โรงงานยาต่างๆ ร้านยาจึงไม่มีคู่แข่งมากนัก ขายได้ซัก 1 ปีก็ย้ายร้านอีกค่ะ ย้ายมาเช่าบ้านคนอื่นขายมั่ง หลังจากขายที่บ้านตัวเองมาสองที่แล้วไม่รุ่ง ร้านที่สามที่นับว่าทำเลดีกว่าร้านเดิมค่ะ ยอดขายก็นับว่าอยู่ได้....มาช่วง2-3 ปีหลังนี่แหละค่ะ วงการร้านยาก็กลายเป็น red ocean เลย ร้านขายยาที่นี่เปิดกันมากมาย เดือนละ 2- 3 ร้านเรียกว่า ร้านยาที่นี่มากกว่า 7-11 เลยค่ะ เศรษฐกิจที่ดีของจังหวัดนี้ก็ส่วนหนึ่ง วิชาชีพเภสัชกรที่ไม่ได้เป็นสาขาขาดแคลนแล้วก็อีกส่วน มหาลัยหลายที่เปิดหลักสูตรเภสัชศาสตร์ ผลิตเภสัชกรได้มากมาย พอมันล้นตลาดก็ไม่รู้จะทำอะไร หันซ้ายหันขวาเปิดร้านดีกว่า แต่บางคนก็มีเป้าหมายความมุ่งมั่นในการเป็นเภสัชชุมชนนะคะ ทุกสังคมทุกวิชาชีพก้ย่อมต้องมีสีขาว สีดำ สีเทาๆปนๆกันไปค่ะ อยู่ที่ว่าสีใดจะมีมากกว่ากัน ส่วนตัวคิดว่าวงการร้านยายังคงมีสีขาวมากกว่าสีอื่นๆนะคะ
ขายยาไม่ได้กำไรมากมายอะไรค่ะ ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เอง ค่ะ แต่เป็นงานที่อิสระ เป็นงานเชิงสังคม สุขภาพ ของคน ตั้งอยู่บนความเสี่ยงเหมือนกันนะคะ ยิ่งมีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคด้วย และอิทธิพลของสื่อต่างๆ แล้ว อะไรก็ฟ้องได้ค่ะ หากการปฏิบัติงานไม่ตั้งอยู่บนมาตรฐานวิชาชีพ แต่ก็ล่ะค่ะความที่ร้านยามีมาก ฝ่ายที่ถือกฎหมายมีเพียงหยิบมือ ก็เลยเห็นการกระทำแบบสีเทาๆให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ
เข้าใจข้อจำกัดของสสจ.เรื่องกำลังคนค่ะ ส่วนผู้ประกอบการเองก็ต้องมีจรรยาบรรณในตัวเองร่วมมือกันไป ผู้บริโภคจะได้รีบประโยชน์สูงสุดค่ะ
เรื่องที่ว่าการกระทำสีเทาๆที่เคยเห็นมาในวงการร้านยาก็อย่างเช่น ขายยากล่อมประสาท (alprazolam ,Lorazepam,diazepam ฯลฯ) ให้เด็กวัยรุ่นเพื่อนำไปใช้ในทางที่ผิด เปิดขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ฮิตมากๆตอนนี้ก็ขายยาแก้ไอสูตร Benadryl ให้กลุ่มวัยรุ่นเยาวชน นำไปผสมเป็น 4x100 , 5x100 มึนเมากันไป ยาพวกนี้ขายได้ไม่ผิดกฎหมายค่ะ(ถ้าเป็นขย 1)โดยต้องทำรายงานการขาย ว่าขายให้ใคร จำนวนเท่าไหร่ เพื่ออะไร ไว้เวลาสสจ.มาตรวจก็สามารถให้ดูได้ แต่เดือนนึงไม่เกิน 300 ขวด คนละไม่เกิน 3 ขวดค่ะ เพื่อการรักษาอาการไอ ระคายคอ ได้ค่ะ....ยากลุ่มนี้คิดว่าต่อไปคงให้เลิกจำหน่ายในร้านยาอีกแน่ค่ะ เหมือนกับยากลุ่ม Pseuephedrine+antihistamine(สำหรับลดน้ำมูก คัดจมูก) ที่เค้าให้เลิกขายในร้านยาตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 54 นี้เนื่องจากมีกระบวนการการค้ายานำไปสกัดเอา Pseudoephedrine ออกมาเป็นสารตั้งต้นของยาบ้าได้อีก....ยาดีๆก็เลยถูกเก็บออกจากตลาดร้านยา...
แต่ร้านยาสีขาวๆก็มีมากนะคะ ร้านที่ให้บริการด้านยาและสุขภาพกับชุมชนอย่างแท้จริง เป็นส่วนหนึ่งของชุมชน อันนี้จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนค่ะ เชื่อมั่นอย่างนั้นค่ะ ผู้บริโภคลองเลือกร้านยาสีขาวไว้ในดวงใจคุณซักร้านนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)