วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เชียงใหม่ ตค.2013

ไปเที่ยวเชียงใหม่อีกแล้วค่ะ ^ ^  


ซื้อตั๋วช่วงโปรไว้ ข้ามปีกันเลยทีเดียว 3คืน 4วัน

จองโรงแรมผ่านAgodaเหมือนเคย  คืนแรกที่นี่ค่ะ  เชียงใหม่บูติคเฮาส์  ประมาณ 800-เป็นรร.ใหม่หน่อย แต่ห้องเล็ก มีสระว่ายน้ำเล็ก(มาก)หน้ารร.เลย  ไม่มีใครว่ายค่ะ  อาย.....อยู่ใกล้ตลาดประตูเชียงใหม่เลยค่ะ เรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง เดินออกมาจากซอยนิดเดียว ยิ่งช่วงกลางคืนยิ่งคึกคักค่ะ.....ส่วนในซอยก้อมีร้านอาหาร  Pub ,bar ,ร้านเช่ารถ พร้อม   เราเช่า scoopy I วันละ 200 - มัดจำ 3000-  วิ่งสบายทั่วเมืองได้เลย ไม่ต้องห่วงปัญหารถติดในเมือง หรือ หลงทาง หลงก็กลับรถปั๊บเลย ^ ^
ออ....พุดถึงรร.นี้ไม่แนะนำสำหรับคนที่นอนยาก หุไว ตื่นง่ายนะคะ  เพราะประตูห้องน้ำมันเป็นไม้เลื่อนค่ะ ห้องข้างๆเข้าทีก็ได้ยินเลย....แถมกลางคืนพวกพนักงงานก็คุย หัวเราะกันเสียงดังมว๊ากกก....จากเคาน์เตอร์ เข้ามาในห้องเลย  






เก็บของเสร็จ ซิ่งมากินเตี๋ยวเนื้อรสเยี่ยม  นิมมาน11 คนยังเยอะเหมือนเดิม  แต่รู้สึกความอร่อย และปริมาณลดลง....คิดไปเอง ???

เตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อ 50-

ปอเปี๊ยะเนื้อ  40-


ตอนเย็นเดินเล่นถนนวันลาย (อยู่ใกล้รร. เดินไปได้เลย)  คนไม่มากเท่าท่าแพ  แวะกินข้าวซอยถ้วยสังกะสี 25-   ขนมจีนน้ำยาเหนือ จืดมาก 20-



เจอเกี๊ยวทอดในตำนาน  วันนี้ลุงเดินขายอยู่ถ.วัวลาย อันล่ะ 5 บาทเอง  กรอบอร่อย ชอบจัง  ดีใจที่เจอแก แกบอกเดินขายไปเรื่อยไปประจำที่ไหน


สองคืนแรกที่อยู่รร.นี้ ขาดไม่ได้เลยที่จะมาแวะซื้อเต้าหู้ทอด น้ำจิ้มเด็ด  หน้าตลาดประตูเชียงใหม่ 7ชิ้น 20 บาท อร่อยสุดในสามโลก ทั้งที่เป็นเต้าหู้ทอดธรรมดานี่เอง  แต่มันหอม กรอบนอกนุ่มใน บวกกับน้ำจิ้ม โรยถั่วบด
เต้าหู้ทอด หน้าตลาดประตูเชียงใหม่

ร้านสลัดอารมณ์ดี  ไม่ได้เข้าไปกินในร้าน สั่งยำรวมหน้าร้านมากิน 50 บาท หร่อยดี


เช้าวันใหม่ ไม่ต้องรีบตื่นไปกินโจ๊กสมเพชร เพราะเค้าเปิด 24 ชม.อยู่แล้ว...สั่งข้าวอบปลา 75-บาทแน่ะแพง เมื่อเทียบกับรสชาติ   โจ๊กทะเล 60  บาท ก็หร่อยใช้ได้  กาแฟเย็น 20-





9.30 น.  ไปม่อนแจ่มกัน....มอไซค์นี่แหละ ถามที่ให้เช่าแล้วเค้าว่าขี่ขึ้นได้ทางสบาย....ลุยเลย
ม่อนแจ่มเพิ่งฮิตๆกันช่วงสองสามปีมานี้ อยู่ อ. แม่ริม  ขี่ผ่านปางช้างแม่สาไปประมาณ 5-6 กม. ว่าไปแล้วก็ขี่จนเมื่อยก้นกันเลยทีเดียว  ระหว่างทางมีที่ให้เที่ยวชมหลายที่เลย  พวกฟาร์มกล้วยไม้ ปางช้าง สวนเสือ  โชว์งู  ร้านกาแฟ ไร่สตอเบอรรี่  แต่เรามุ่งตรงไปม่อนแจ่มเลย เพราะเที่ยวคราวก่อนแล้ว




มาถึงก็เกือบเที่ยงแล้ว  ช่วงนั้นไม่มีแดด  ขี่สบาย แอบเกร็งบางช่วง   อากาศเย็นอย่าลืมเอาแจ็กเก็ตมาด้วย  จอดรถไว้ที่จอดด้านล่าง มอไซค์มากกันเพียบเหมือนกัน.....เดินขึ้นเนินไปซักร้อยเมตร หิวก็ซื้อมันเผากินหน่อย ถุง 20-  ร้อนๆหอมๆหร่อยดี

ถึงแล้ว....วิวสวย อากาศดี สดชื่น ไม่เสียแรงที่มา มีแปลงผัก แปลงดอกไม้ โดยมากมาถ่ายรูป ชมวิววกัน และนั่งกินอาหาร มีร้านอาหารอยู่ 1ร้าน  คนแน่น และราคาค่อนข้างแพง....ถ้าไม่หิวมากลงไปกินในเมืองดีกว่า.....




ลงจากม่อนแจ่มกลับเข้ามาถิ่นสุดชิคในเมืองเชียงใหม่  นิมมานเหมินทร์ นี่เองมากินส้มตำโซลาว นิมมาน ซอย 9  ตามคำบอกกล่าวของน้องสาวชาวเหนือ  คนเต็มร้านเลยอ่ะ...ราคาแอบแพงนิดหน่อย แต่อร่อยอ่ะ  สั่งไก่ทอดน้ำปลา  ส้มตำ เอ็นแก้วต้มแซ่บ ข้าวเหนียว  ...


.ยังไม่อิ่ม  ไปต่อด้วย Iberry พี่โน้ต นิมมาน 17  มาเชียงใหม่ยังไม่เคยได้มาที่นี่ซักที  เพราะหาไม่ค่อยเจอ อยู่ในซอยลึกลับ....คราวนี้ถามจนมาถูกล่ะ  ชอบจังบรรยากาศสบายๆ ชิลๆ คนเยอะเชียว แต่ที่นั่งเค้าเยอะด้วย  แล้วแต่จับจองกันมุมไหน เข้าไปเลือกไอติม หนมเค้ก ในร้าน จ่ายตังค์ แล้วเลือกป้ายหมายเลขมาหนึ่งอัน ไปหาที่นั่งตามใจชอบเลย ประเดี๋ยวน้องพนักงงานเสริ์ฟ ตามหาเราจนเจอเองแหละ





มีมุมให้ action กันเบาๆ ตามประสาร้านติสท์ตัวพ่อ


เช้าวันนี้ ออกมาซื้อไก่ทอด  กาแฟ หน้าตลาด แล้วซิ่งไปกาดหลวง shop ของฝากเล็กน้อย เปลี่ยนที่พักมาเป็นย่านนิมมานซะเลย  ชอบอ่ะ...รร.ใบหยกเจ้า ประมาณ 900- อยู่ติดถนน ปากซอย นิมมาน8  หาง่าย สะดวกสบาย ทันสมัย ห้องพักกว้งขวาง มีครัวด้วย ชอบมากๆ แต่ติดเรื่องให้ check in หลังบ่ายสองนี่สิ...ไม่เป็นไรไปตระเวนกินก่อน ....




 คั่วไก่นิมมาน ติดกับร้าน Iberry เล็งไว้ตั้งแต่เมื่อวานล่ะ...สั่่งก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ อร่อยจัง  น้ำอัญชันมะนาวเสริ์ฟมาในขันน่ารัก  เอ็นไก่ทอดอีกจาน   ร้านน่านั่ง คนตรึมเลยล่ะ





มื้อเย็น มากินข้าวซอยอิสลาม เคยมาเมื่อนานมาแล้ว มาใหม่ก็ยังเหมือนเดิม (ออกโทรมๆเล็กน้อย) แต่คนไม่เยอะเหมือนก่อน  คงไปกินข้าวาซอยเสอมใจฟ้าฮ่ามกันหมด  ส่วนร้านนนี้อยู่ในซอย (วันเวย์)แถว ไนท์บาร์ซ่า   ไม่อยากกินข้าวซอย  สั่งยำสลัด(สลัดแขก) อันนี้ชอบสุดๆ   เกี๊ยวน้ำลูกชิ้นเนื้อ ชามใหญ่มากแต่รสชาติประมาณนึง  ก๋วยเตี๋ยวแกง แปลกดีน้ำคล้ายข้าวาาซอยแต่ใส่เส้นใหญ่แทน เครื่องแบบก๋ยวเตี๋ยว  อิ่มบานตะไทเลย


ภายในร้านข้าวซอยอิสลาม


    ยำสลัด                                                             เกี๊ยวน้ำลูกชิ้น                                   ก๋วยเตี๋ยวแกง






กินเสร็จฝนตกหนักเชียว รอเท่าไหร่ก็ไม่หยุดต้องลุยกลับมา รร. เปียกปอนไปหมด   และฝนก็ตกตลอดคืน  จบเห่เอวังคืนนี้....อาบน้ำนอน

เช้าวันกลับมาขี่รถตระเวนเข้าออกย่านนิมมาน เพื่อเก็บภาพร้านชิคๆ มุมสวยๆ  ร้านน่านั่งเพียบเลย แต่ตอนเช้านี่ยังสลบไสลกันอยู่...ได้ร้าน Salad concept  สลัด ผักสดๆ เลือกใส่ตามใจขอบ ราคาสสมเหตุสมผล ถูกใจคนชอบผักเลย



@salad concept   สลัดผัก ใส่เนื้อย่าง ราดน้ำสลัดญี่ปุ่น อร่อยเป็นที่สุด


จบ trip ด้วยน้ำหนักที่เพิ่มมา 2 กิโล จร้า
ไว้เจอกันใหม่ นะ เชียงใหม่

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

วิถีไม่ตัน

เพิ่งได้หนังสือเล่มนี้มาอยู่ในมือเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ขณะที่หลายๆคนคงอ่านจบไปหลายรอบแล้วนะคะ ยังไงก็ตามขอนำบทความดีๆให้แง่คิด คติ ในการดำเนิธุรกิจและชีวิตของคุณต "ตัน" มาแบ่งปันค่ะ

   วิถีที่ 1 คำมั่นสัญญา
ตอนที่ตัดสินใจลาออกจาดโออิชิ รู้ไหมครับผมคิดอะไร จากคนที่เคยเริ่มต้นจาก ติดลบ สามารถมีวันนี้ได้ ไม่ว่าจะความสำเร็จหรือฐานะทรัพย์สิน ทุกอย่างเกินที่ผมฝันไว้แล้ว คงไม่กล้าบอกว่าตัวเองรวยแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่า" เพียงพอ"บางช่วงบางตอนของคนเรามักสนุกกับกาทำงาน จนหลงลืมใช้ชีวิต หันกลับมาอีกที่ "ตัวเลข" กลับไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเหมือนเดิมจากคนที่เคยสนุกกับการแข่งขัน มีเป้าหมายและผลประกอบการและกำไรไว้ให้พุ่งชน  ถึงจุดหนึ่งสอนให้ผมรู้จักกับคำว่า"พอ" เงินไม่ใช่สิ่งที่ผมโหยหิว กำไรสูงสุดไม่ใช่สิ่งที่ผมบูชา ผมได้เรียนรู้ถ่องแท้ถึงคุณค่าใหม่ของชีวิตที่มีความหมายมากกว่านั้น นั่นคือจุดหักเหครั้งสำคัญ ก้าวผ่านชีวิตอีกขั้น หลังจากการขายหุ้น อะไรคือความสุขที่แท้จริง อะไรคือความหมายของชีวิตที่มีคุณค่าสำหรับผมและครอบครัว "จะทำอะไร ทำเพื่ออะไร จะทำไปทำไม แล้วจะทำอีกเหรอ" ผมถามย้ำซ้ำๆกับตัวเอง  คำตอบคือลาออกแล้วชีวิตจะเอาอย่างไรต่อไป  ยังเร็วเกินไปที่จะเกษียนตัวเองไปพักผ่อนในวัย 52  ในขณะที่มีความพร้อมทุกอย่างมากมายในมือ ทั้งทุน ชื่อเสียง ประสบการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทีมงานที่ดี  ผมยังมีลูกน้องหลายคนที่เคยร่วมทุกข์สุข บรรดาคู่ค้าที่กอดคอโตทำธุรกิจมาร่วมกัน   ผมยังสนุก ท้าทายกับการคิดอะไรใหม่ๆนอกกรอบ  มากไปกว่านั้นคือ จิตวิญญานและความรักของผมในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม   ผมจะขายหุ้น ไม่ได้ขายชีวิต
      จะถือหุ้นใหญ่ หรือหุ้นเล็ก จิตวิญญานความเป็นเจ้าของสำหรับผมไม่ต่างกัน   หลังขายหุ้น 55 เปอร์เซ้นต์ให้กับกลุ่มเบียร์ช้างเมื่อ 6 ปีก่อน ตามสัญญาต้องช่วยบริหารงาน 3 ปี แต่ผมบริหารงานมาถึง 5 ปี  ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นโออิชิทั้งรายใหญ่แลัรายย่อยทุกคนเพิ่มขึ้นทุกปี บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และมีมูลค่าธุรกิจเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า  ผมมั่นใจว่าได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์มาตลอด 5 ปี ไม่ได้ทำให้ใครเสียหายทั้งสิ้น จนกระทั่งถึงวันที่ตัดสินใจลาออก
     ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเป็นวิชาชีพของผม เป็นภูมิปัญญาเป็นงานที่ผมรัก  เมื่อจะบุกเบิกธุรกิจใหม่อีครั้ง ผมอยากทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งแต่ เงินๆๆและกำไรสูงสุดเป็นตัวตั้ง  แต่เป็นธุรกิจเพื่อ "ภารกิจ"ความสุข..ที่ต้องดูแลสังคมด้วย นั่นคือแรงบันดาลใจที่ทำหใ้ผมหวนกลับมาทำธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอีกครั้ง พร้อมจุดเริ่มต้นของ "อิชิตัน ออร์แกนนิค กรีนที"เครื่องดื่ม"ดับเบิ้ลดริงค์"   ขับเคลื่อนภาระกิจเป้าหมายใหม่ที่เปลี่ยนไปในการทำธุรกิจ ในนาม "บริษัท ไม่ตัน จำกัด" ทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท โดยเงินปันผล 50 เปอร์เซ็นต์ จากหุ้นที่ผมและภรรยา ถืออยู่จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่า 300 ล้านบาท จะมอบให้กับมูลนิธิตันปันตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป  นับจากนั้นเมื่อผมอายุ 60 ปีแล้ว จะเพิ่มสัดส่วนการบริจาคไม่ต่ำกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไป เพื่อใช้เป็นศูนย์รวมเล็กๆของการแบ่งปันสู่สังคมในด้าน "การศึกษา" และสิ่งอวดล้อม    ทั้งหมดนี้เพราะผมและภรรยามีเป้าหมายร่วมกัน นับแต่นี้จะใช้เงินของเราทำอะไรก็ได้ที่มี"ความสุข"
      ความสุขไม่ได้แปลว่าเราต้องซื้อทรัพย์สิน ไม่ได้แปลว่าเราต้องบริโภค ต้องสะสมความั่งมี  บางนเข้าใจว่ามีเงินแล้วมีความสุข  จริงๆแล้ว เงินเป็นเพียงปัจจัยพื้นฐานขั้นต้น  มากไปกว่านั้นเงินแทบจะไม่มีความหมาย
     ความสุขจึงไม่ได้เป็นสิ่งผูกขาดสำหรับคนรวย
     คนเราสามารถมีความสุขได้หลายอย่าง
     สิ่งที่ทำหให้ผมมีความสุขในชวงหลังคือ การได้ช่วยเหลือสั่งคม  ไม่ว่าจะเป็นการเดินสายถ่ายทอดประสบการณ์สร้างแรงบันดาลใจหรือการจัดกิจกรรมช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน
    การที่ได้เห้นรอยยิ้ม  ของคนที่ ได้รับ  เป็นความสุขใจอย่างหนึ่งของผม
    เวลาที่เหลือนับจากนี้ ผมมุ่งมั่นที่จะสร้างบริษัทไม่ตัน ให้เป็นธุรกิจ เพื่อภารกิจของมูลนิธิตันปัน และ "เป้าหมาย"ของผมนับจากนี้ไม่ใช่การ"ได้รับ" แต่เป็น "การให้"  ผมเชื่อเสมอว่า..คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะ "เป็น" ได้
    และวันนี้ผมเลือกแล้ว

ขอข้ามไปวิถีที่ 16 ก่อนค่ะ


    วันหนึ่งระหว่างทางที่กลับบ้านที่ชลบุรี"กระบอกข้างหลาม" ของฝากข้างทางจุดประกายให้ผมนึกถึงปรัชญาธุรกิจ "โตอย่างไผ่" ที่อยากเล่าสู่กันฟังครับ   มองเผินๆกระบอกข้าวหลามจากต้นไผ่ ต้นไม้ลำไม่ใหญ่ แถมข้างในเป็นโพรง กิ่งของมันไหวเอนไปตามลม ดูไม่น่าจะแข็งแกร่ง แต่กลับแข็งแรงกว่าที่เราคิด ไผ่อายุยืน โตเร็วและทนทาน ขยายพันธุ์จากกอไผ่ต้นน้อย แข่งกันแตกหน่อเติบโตเป็นกอใหญ่ ลำต้นแข่งขันกันสูงใหญ๋ยืดตัวจนใครๆมองเห็นทั่ว  ยิ่งแข่งกันสูงรับแสงจากดวงอาทิตย์ กอไผ่ยิ่งเติบโต ขยายอาณาจักรของมันออกไปอย่างไม่ลดละ เพราะสังคมขอต้นไผ่แข่งขันกัน แต่ไม่ทำลายกัน  ไผ่หลายกอเติบโตรวมกันยามเมื่อลมพายุแรงๆพัดใส่ไผ่กอใหญ่กอนี้จึงแข็งแรง ไม่ล้มหักโค่นง่ายๆ ในความคิดของผม ไผ่จึงยืนหยัดเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงที่สุดท่ามกลางการแข็งขันและอยู่รอด
   การโตแบบกอไผ่ เคยเป็นกลยุทธ์ที่ผมนำมาใช้กับการบริหารธุรกิจสตูดิโอถ่ายภาพแต่งงาน เมื่อสิบกว่าปีก่อน  ผมเริ่มต้นทำธุรกิจบนแนวคิดใหม่ แตกขยายร้านออกไปบนทำเลเดียวกัน ด้วยเป้าหมาย ฝันอยากจะสร้างถนนสายวิวาห์ให้เบ่งบานที่ทองหล่อ เหมือนๆที่เกิดขึ้นบนถนนสายทองคำที่เยาวราช  ครั้งแรกที่ผมชวนพนักงานที่เก่งๆแล้วในร้านแรกออกไปเปิดร้านใหม่แห่งที่ 2 " คุณแมว" หุ้นส่วนคนแรกขอผม หวั่นใจไม่น้อยว่าจะเกิดปัยหาแย่งลุกค้ากันเองหรือไม่  แต่ผมยังยืนยันนโยบายเดนหน้าร่วมทุนเปิดร้านใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทุกครั้งที่จะร่วมหุ้นเปิดร้านใหม่ บรรดาหุ้นส่วนร้านเดิมทั้งหมดจะสามัคคีกันเป็นแนวร่วมทักท้วง ส่วนรายล่าสุดก้มักจะยื่นคำขาดแกมขอร้องว่า ให้ผมหยุดที่ร้านเขาเป็นร้านสุดท้ายได้ไหม
   วันหนึ่งผมเลย้องเรียกประชุมหุ้นส่วนทุกร้านมาคุยพร้อมกันหมด แจกแจงให้ฟังถึงแนวคิดธุรกิจ เปรียบเทียบให้เห็นถึงการโตอย่างต้นไผ่  ขอให้แต่ละร้านแข่งขันกันเต็มที่ แต่อย่าทำลายกัน ให้แข่งขันกันที่ความขยัน การลดต้นทุน แข่งกันบริการให้ดีที่สุด ใช้การแข่งขันดึงดูดลุกค้า สร้างบรรยากาศตลาดให้คึกคัก  เครือข่ายธุรกิจแบบแข่งขันแต่ยังช่วยเหลือเกิื้อกูลกัน เปรียบเหมือนเป็นกอไผ่ที่ยิ่งแตกก้ยิ่งเติบโต ในที่สุดตัวเลขส่วนแบ่งการตลาดและรายได้ในบัญชี ก้เป็นเครื่องพิสูจน์ให้หุ้นส่วนยอมรับว่าการมีร้านมากขึ้น ไม่ได้กระทบต่อยอดขายเดิม ตรงกันข้ามกลับเป็นจุดขายที่ทำให้ตลาดโตยิ่งกว่าเดิม  มองย้อนกลับไป แม้วันนี้ธุรกิจสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานจะไม่ได้บูมเหมือนยุคขาขึ้นในอดีต แต่การที่เรายังยืนหยัดสตูดิโอถ่ายรูปแต่งงานจนถึงปัจจุบัน ผมถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความเป็น"ตัวจริง"ในสังเวียนธุรกิจที่ยั่งยืนหยัดอย่ได้บนถนนสายเวดดิ้งทองหล่อ  กลยุทธ์ดตอย่างไผ่ ยังเป็นดมเดลที่ผมหยิบมาใช้อีกครั้งกับธุรกิจใหม่  ร้านราเมนแชมเปี้ยน อารีน่าทองหล่อซอย 10 โมเดลที่รวมเอาสุดยอด 6 ร้าน"ราเมน" ต้นตำรับมาต่อกรเปิดแข่งกันในพื้นที่เดียวกัน แทนที่จะมองว่าแย่งลูกค้ากัน กลับยิ่งช่วยสร้างความคึกคักให้อารีน่า กลายเป็นทำเลนัดพบประสบการณ์ความอร่อยแห่งใหม่  เพราะความหลากหลายทางเมนูและบริการให้ลูกค้าได้เลือกสรรในที่เดียว  นอกจากราเมนทั้ง 6 ร้านจะขายดีแล้ว ร้านช็อกโกแลตและไอศรีมอย่าง melt me ก้พลอลคึกคักไปด้วย
   เมื่อการแข่งขันกลายมาเป็นจุดขายทางเลือกใหม่ๆสำหรับลูกค้ายิ่งแข่งก็ยิ่งโตครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

บทความจากอัจฉริยะสร้างสุข ของ วนิษา เรซ

 ไม่มาก...ไม่ยาก
         ปัญหาของคนเก่งคือ รู้เยอะแต่ทำไม่ได้ เราเห็นคนเก่งมากมายเรียนได้จนรับปริญญาเอก แต่มีปัญหาชีวิตครอบครัว เห็นคนจบด้านการเงินแต่ลงทุนพลาดจนล้มละลา เห็นเด็กเรียนเก่งระดับเกียรตินิยมแต่กระโดตึกฆ่าตัวตาย  ความรู้เป็นของมีค่า เป็นเครื่องมือในการหาเลี้ยงชีพ หาทรัพย์สินสิง่ของมาให้เรา แต่ความรู้และทรัพย์สินไม่ได้ประกันความสุขขั้นละเอียด แม้จำเป็นต่อความสุขขั้นพื้นฐาน แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับความสุขขั้นละเอียดขึ้นไปกว่าวัตถุ และปัญหาคือ มนุษย์เราต้องการความสุขขั้นละเอียดเสียด้วย ไม่เช่นนั้น รวยแค่ไหนก็ไม่วายรู้สึกโหวงๆภายในเรื่อยไป ต้องหาทางเติมเต็มด้วยคนรอบตัว ด้วยสิ่งของหรือกิจกรรมต่างๆไม่จบสิ้น
      อาร์ชิบาลด์ แมคเคลอิช พูดไว้น่าสนในมากว่า " ปัญหาที่โลกมีไม่ใช่เพราะความเชื่อว่าข้อมูลข่าวสารและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งดี ความรุ้ดีกว่าความเขลาแน่นอนอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ตรงที่คววามเชื่อว่าข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จะเปลี่ยนโลกได้ เพราะมันไม่จริง"
     รู้เพียงไม่มาก ทำให้ไม่ยาก  แล้วดูว่าสิ่งใหม่ที่เราได้เรียนรู้และลองลงมือทำ จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุขได้อย่างไร
    รู้มาก  มีมาก ไม่ได้ประกันว่าโลกนี้จะดีขึ้นหรือเราจะสุขขึ้น ความสุขจะมีขึ้นได้เมื่อเรารู้ว่าควรวางสิ่งใดลง วางลงเมื่อไหร่ และวางลงเพื่ออะไร ความสุขประเภทนี้มาพร้อมปัยหา มาพร้อมกับความสามารถในการตั้งคำถามที่จะนำเราไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้
    คนเก่งหรือไม่เราไม่ได้ดูว่าเขาจำและตอบคำถามได้ดีแค่ไหน แต่เราจพดูที่ "ตั้งคำถาม" เป็นไหม่ต่างหาก ท่องจำใครๆก้ทำได้ แต่จะคิดตั้งคำถามให้นอกกรอบ ให้เส้นทางการเดินไปหาคำตอบไม่หลงทางนั้น ไม่ใช่ทุกนจะทำได้   เมื่อทุกข์ การตั้งคำถามว่า " ทำไมต้องเป็นฉัน"  " มะไม่ยุติธรรมเลย ทำไมไม่เกิดกับคนอื่นบ้าง"   คงไม่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น  คำถามที่สำคัญที่สุดบนเส้นทางสร้างสรรค์ความสุขน่าจะเป็นว่า
    ทำอย่างไรจึงจะช่วยให้ตัวเรา ครอบครัวเรา สังคมเรา และโลกเรามีความสุขขึ้นได้ แม้เพียงอีกสักนิดก็ยังดี    คำถามนี้ง่ายๆไม่ซับซ้อน ตรงประเด็นที่สุด ต้องง่ายๆระดับนี้จึงจะได้ผล เพราะอย่างที่บอกว่า หลักการที่ได้ผลที่สุดมัก  ไม่มากและไม่ยาก  เสียด้วย